DORAEMON

DORAEMON

บทนิยามของความรัก

-ความรักไม่ใช่เส้นบะหมี่ -ความรักไม่ได้มีกันง่าย -ความรักจะเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน -ความรักจะไม่ตายไปจากเรา --ความรักไม่ใช่ความใคร่ --ความรักเป็นความห่วงใยและคิดถึง --ความรักไม่ใช่ความต้องการของใครคนนึง --ความรักคือการคิดถึงซึ่งกันและกัน --ความรักไม่ใช่การหลอกลวง --ความรักไม่ใช่การหวงเป็นสิ่งของ --ความรักไม่ต้องการของใครมาจับจอง --ความรักไม่ใช่ของๆใคร -ความรักคือการให้ -ความรักคือการใส่ใจกันและกัน -ความรักไม่ใช่การเอาแต่จะฟัน -ความรักคือความฝันของคนสองคน --ความรักคือการอดทน --ความรักคือการไม่บ่นต่อเวลา --ความรักไม่ตีกรอบความห่วงหา --ความรักเปรียบเหมือนยารักษาใจ -ความรักไม่ใช่การหลอกใช้ -ความรักไม่ใช่การให้เพื่อหวังผล -ความรักคือการให้ของคนสองคน -ความรักไม่กังวลต่อสิ่งลวงตา --ความรักคือความเชื่อใจ --ความรักต้องไม่ระแวงกันและกัน --ความรักคือความเชื่อมั่น --ความรักต้องฝันไปให้ไกล -ความรักคือการให้เวลา -ความรักไม่ใช่บอกว่า"เราไม่ว่าง" -ความรักไม่เหมือนดอกไม้ริมทาง -ที่จะเด็ดดมทิ้งขว้างและเดินจากไป --ความรักอาจดูหอม --ความรักนั้นถอนคืนมาไม่ได้ --ความรักคือรักแล้วทั้งหัวใจ --ความรักคือความเชื่อใจที่มีให้กัน -ความรักอาจดูโง่เขลา -ความรักอาจดูเหมือนเราเป็นบ้า -ความรักต้องพิสูจน์กันที่เวลา -ความรักต้องดูกันว่าใครเปลี่ยนไป

DORAEMON

DORAEMON

Dennis Ritche

Dennis Ritche

ประวัติภาษาซี

ภาษาซีเป็นภาษาที่ถือว่าเป็นทั้งภาษาระดับสูงและระดับต่ำ ถูกพัฒนาโดยเดนนิส
ริดชี (Dennis ritche) แห่งห้องทดลองเบลล์ (Bell laboratories) ที่เมอร์รีฮิล
มลรัฐนิวเจอร์ซี่
โดยเดนนิสได้ใช้หลักการของภาษา
บีซีพีแอล (BCPL : Basic Combine Programming Language) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยเคน
ทอมสัน (Ken tomson) การออกแบบและพัฒนาภาษาซีของเดนนิส ริดชี
มีจุดมุ่งหมายให้เป็นภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมปฏิบัติการระบบยูนิกซ์
และได้ตั้งชื่อว่า ซี (C) เพราะเห็นว่า ซี (C) เป็นตัวอักษรต่อจากบี (B)
ของภาษา BCPL ภาษาซีถือว่าเป็นภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำ ทั้งนี้เพราะ
ภาษาซีมีวิธีใช้ข้อมูลและมีโครงสร้างการควบคุมการทำงานของโปรแกรมเป็นอย่างเดียวกับภาษาของโปรแกรมระดับสูงอื่นๆ
จึงถือว่าเป็นภาษาระดับสูง ในด้านที่ถือว่าภาษาซีเป็นภาษาระดับต่ำ
เพราะภาษาซีมีวิธีการเข้าถึงในระดับต่ำที่สุดของฮาร์ดแวร์
ความสามารถทั้งสองด้านของภาษานี้เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
ความสามารถระดับต่ำทำให้ภาษาซีสามารถใช้เฉพาะเครื่องได้ และความสามารถระดับสูง
ทำให้ภาษาซีเป็นอิสระจากฮาร์ดแวร์
ภาษาซีสามารถสร้างรหัสภาษาเครื่องซึ่งตรงกับชนิดของข้อมูลนั้นได้เอง
ทำให้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาซีที่เขียนบนเครื่องหนึ่ง
สามารถนำไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่งได้ ประกอบกับการใช้พอยน์เตอร์ในภาษาซี
นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นอิสระจากฮาร์ดแวร

ภาษาซีเป็นภาษาที่มีลักษณะเด่นพอสรุปได้ดังนี้
-
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีการพัฒนาขึ้นใช้งานเพื่อเป็นภาษามาตรฐานที่ไม่ขึ้นกับโปรแกรมจัดระบบงานและไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์
- เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่อาศัยหลักการที่เรียกว่า "โปรแกรมโครงสร้าง"
จึงเป็นภาษาที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมระบบ
-
เป็นคอมไพเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ให้รหัสออบเจ็กต์สั้น ทำงานได้รวดเร็ว
เหมาะกับงานที่ต้องการ ความรวดเร็วเป็นสำคัญ
-
มีความคล่องตัวคล้ายภาษาแอสแซมบลี ภาษาซีสามารถเขียนแทนภาษาแอสแซมบลีได้ดี
ค้นหาที่ผิดหรือ แก้โปรแกรมได้ง่าย
ภาษาซีจึงเป็นภาษาระดับสูงที่ทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ
-
มีความคล่องตัวที่จะประยุกต์เข้ากับงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี การพัฒนาโปรแกรม เช่น
เวิร์ดโพรเซสซิ่ง สเปรดชีต ดาตาเบส ฯลฯ
มักใช้ภาษาซีเป็นภาษาสำหรับการพัฒนา
-
เป็นภาษาที่มีอยู่บนเกือบทุกโปรแกรมจัดระบบงาน มีในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่
8 บิต ไปจนถึง 32 บิต เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรม
-
เป็นภาษาที่รวมข้อดีเด่นในเรื่องการพัฒนา
จนทำให้ป็นภาษาที่มีผู้สนใจมากมายที่จะเรียนรู้หลักการของภาษา
และวิธีการเขียนโปรแกรม ตลอดจนการพัฒนางานบนภาษานี้


วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธิการเล่นรูบิค
ขั้นที่ 1 ทำสีด้านใดหน้าหนึ่งให้ได้ทั้งหมด สีที่ติดกับด้านที่ทำเสร็จเป็นรูปตัว T (แบบหางขาดนิดๆ) ดังรูป
ขั้นที่ 2 ทำชั้นที่ 2 ให้เสร็จ จะได้ดังรูป
สำหรับตัวผมสามารถคิดได้เองถึงขั้นนี้แหละครับ
ขั้นที่ 3 ทำให้มุมที่อยู่ด้านตรงข้ามด้านที่เสร็จแล้วอยู่ในมุมที่ถูกต้อง

หลายคนอาจจะงงครับว่าขั้นตอนนี้คืออะไรก็ขออธิบายง่ายๆ จากรูปที่มีเลย ด้านล่าง(ก้นรูบิค) คือด้านที่ทำเสร็จแล้วครับดังนั้นเราจะต้องทำมุม 4 มุมซึ่งเป็นมุมที่ตรงข้ามกับด้านที่ทำเสร็จแล้ว(ในรูปจะมีมุมสีส้มอ่อน 2 มุมและด้านหลังอีก 2 มุมที่ไม่ได้ลงสี) ให้อยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องครับจะขออธิบายรูปแบบที่ถูกต้องดังนี้ จากรูปจะเห็นว่ามีสีทีี่่ประจำ 3 ด้านอยู่่สามสี นั่นคือสีส้มสีขาวและสีเขียวดังนั้นทั้ง 4 มุมที่ว่านั้นขอให้มีสามสีนี้เป็นองค์ประกอบก็พอครับแต่จะอยู่ที่ตำแหน่งใดก็ได้ ดังรูป

ขั้นที่ 4 ทำมุมให้มีสีให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและทำให้เข้ารูปแบบเพื่อให้ง่ายในขั้นตอนสุดท้ายการทำให้มุมมีสี 4 มุมที่ขั้นที่แล้วมีสีที่ถูกต้องจะได้ดังรูปครับ

จากนั้นมาดูตรงกลางของหน้าสุดท้ายกัน ถ้ามีสีตรงกันในทุกๆหน้า(4 มุมในขั้นตอนที่แล้ว)ก็จบในขั้นตอนนี้แต่ถ้าไม่เป็นดังนั้น หาด้านที่มีสีที่ตรงกับด้านที่หันหน้าให้ตัวเรา (แบบไหนก็ได้ - สีไหนก็ได้ขอให้ตรงด้านก็พอ)

ในรูปสีส้มถือว่าตรง จากนั้นก็หมุน

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีการทำแมโครในไมโครซอฟต์เวิร์ด
การสร้างเมนูคำสั่งใน MS Office ด้วย MacroMacro คืออะไรMacro เป็นลักษณะการใช้งานพิเศษที่ผู้ใช้โปรแกรมประยุกต์ในกลุ่มของ Microsoft Office สามารถเรียกใช้งานเพื่อการสร้างคำสั่งขึ้นใหม่ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้นและประหยัดเวลาในการใช้งานบางอย่างที่ต้องทำเป็นขั้นตอนซ้ำ ๆการสร้าง Macro ใน Microsoft Wordการบันทึก Macro
เปิดเอกสารที่ต้องการจะบันทึก Macroคลิกที่เมนู Tools เลือกMacro > New Macro

พิมพ์ชื่อของคำสั่งที่ต้องการใน Macro name box จากนั้นใน Store macro in box คลิกเลือกว่าต้องการเก็บ macro ที่สร้างนี้ไว้ที่ใด แล้วคลิกปุ่ม OK เพื่อเริ่มการบันทึก


บนจอภาพจะปรากฏกรอบแสดงปุ่มควบคุมการบันทึก และที่ pointer ของเมาส์จะปรากฏสัญลักษณ์เครื่องบันทึกเทป ณ ขณะนั้นถ้ามีการพิมพ์ หรือ คลิกเลือกคำสั่งใด กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะถูกเก็บบันทึกไว้ตามขั้นตอนที่เกิดขึ้น เมื่อต้องการหยุดการบันทึกชั่วคราวก็กดปุ่ม Pause หรือ กดปุ่ม Stop เมื่อสิ้นสุดกิจกรรมที่ต้องการบันทึกสำหรับ macro นั้นการเรียกใช้ Macroคลิกที่เมนู Tools เลือกคำสั่ง Macro > Macros… จะพบ Macro ที่ได้บันทึกไว้ในกรอบรายชื่อของ Macroถ้าต้องการให้ macro ใดทำงาน ให้คลิกเลือกชื่อ macro นั้น แล้วคลิกที่ปุ่ม Runการแก้ไข Macroคลิกที่เมนู Tools เลือกคำสั่ง Macro4Macros… คลิกเลือกชื่อ macro ที่ต้องการแก้ไข แล้วคลิกที่ปุ่ม Editจะปรากฏวินโดว์ของ Microsoft Visual Basic ซึ่ง Word กำหนดไว้ให้เป็น Editor พร้อมกับวินโดว์ที่แสดง Code คำสั่ง ซึ่ง Word ได้แปลงขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้บันทึกไว้ ในกรณีที่เข้าใจคำสั่ง Visual Basic ก็สามารถทำการแก้ไข code ได้ตามต้องการเมื่อต้องการกลับไปที่ Word ให้คลิกที่ไอคอนของ Word บน Toolbarการสร้างเมนูคำสั่งสำหรับเรียกใช้ Macroเมื่อได้มีการสร้าง Macro แล้ว และต้องการจัดทำเป็นเมนูเพื่อให้สามารถเรียกใช้ Macro ได้โดยสะดวก ก็สามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้เปิด Document หรือ Template ที่มีได้บันทึก Macro ไว้คลิกที่เมนู Tools เลือกคำสั่ง Customize… เลือกแถบ Commands ที่ Categories box คลิกที่ Macrosคลิกที่ Macro ที่ต้องการ แล้วลากเมาส์เพื่อนำ Macro ไปวางที่ Menu barคลิกปุ่ม Closeเมื่อต้องการเรียกใช้ Macro นั้น ก็สามารถคลิกที่เมนูได้ตามต้องการMacro Security ใน Microsoft Officeเนื่องจากปัญหาการระบาดของ macro virus โปรแกรมในกลุ่ม Microsoft Office จึงกำหนดให้มีการตั้ง security สำหรับการตรวจหา macro และเตือนผู้ใช้ว่ามี custom macro ในแฟ้มที่กำลังจะเปิด ผู้ใช้ต้องระบุว่าจะต้องการเปิดแฟ้มในลักษณะที่ยอมให้ macro ทำงานหรือไม่ (diable หรือ enable macro)ใน Microsoft Office 2000 ถ้าต้องการปรับเปลี่ยน Security ของ Macro ให้คลิกที่ Tools เลือกคำสั่ง Macro > Security… ซึ่งจะพบว่ามีอยู่ 3 ระดับ ดังนี้High ถ้าเลือกระดับนี้ Macro ที่ได้ผ่านการรับรองเท่านั้นที่จะยอมให้ทำงานได้ Macro อื่น ๆ จะไม่สามารถทำงานได้Medium ถ้าเลือกระดับนี้ ผู้ใช้งานจะต้องเป็นคนกำหนดเองว่าจะยอมให้ macro ทำงานหรือไม่Low ถ้าเลือกระดับนี้ จะเป็นการยอมให้ macro ทำงานได้ทันทีที่มีการเปิดแฟ้มนั้น ๆ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ปลอดภัยในเรื่องการป้องกัน virusในกรณีที่มีการสร้าง macro ไว้ใช้งาน อาจจะเลือก Security ระดับ Medium และก่อนจะเปิดแฟ้มที่มี macro ควรจะให้แน่ใจว่ามาจากแหล่งที่เชื่อถือได้

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คำสั่งเบื้องต้นของภาษา C
1. คำสั่ง scanf() เป็นฟังก์ชันที่รับค่าจากอุปกรณ์นำเข้ามาตรฐาน และนำค่าที่ได้เก็บไว้ในตัวแปรในโปรแกรม
รูปแบบคำสั่ง



เมื่อโปรแกรมทำงานถึงฟังก์ชันนี้จะหยุดเพื่อให้ป้อนข้อมูล โดยข้อมูลที่ป้อนจะแสดงบนจอภาพ เมื่อป้อนข้อมูลเสร็จกด Enter ข้อมูลทั้งหมดจะเก็บในตัวแปร var ชนิดของข้อมูลที่กำหนดให้กับตัวแปร var จะถูกกำหนดโดยตัวกำหนดชนิดข้อมูลซึ่งระบุในส่วนของ format code ตัวกำหนดชนิดข้อมูลของฟังก์ชัน scanf() จะเหมือนกับของฟังก์ชันprintf() ฟังก์ชัน scanf() จะทำให้เคอร์เซอร์ ขึ้นบรรทัดใหม่หลังจากกด Enter
ตัวอย่าง
#include "stdio.h"
#include "conio.h"
void main()
{ int a,b,c; clrscr();
printf("Enter three integer numbers : ");
scanf("%d%d%d",&a,&b,&c);
printf("a = %d b = %d c = %d \n",a,b,c);
}

เป็นการป้อนเลขจำนวนเต็ม 3 ตัวให้กับตัวแปร a,b และ c ในการป้อนตัวเลขให้เว้น ช่องว่างระหว่างตัวเลขแต่ละชุดซึ่ง scanf() จะข้อมช่องว่างไปจนกระทั่งพบตัวเลขจึงจะอ่านข้อมูลอีกครั้ง
2. ฟังก์ชั่น printf()
เป็นฟังก์ชั่นใช้ พิ
มพ์ค่าข้อมูลไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์




ตัวอย่าง
การใช้งานฟังก์ชัน printfint i = 10; printf(“\n test %d”,i);
รหัสรูปแบบ (Format Code) ที่ใช้ในการแสดงผล ใช้ร่วมกับรหัส back slash(ในที่นี้คือ \n ซึ่งหมายถึง ขึ้นบรรทัดใหม่) และเครื่องหมาย % ซึ่งมีความหมายดังนี้
%d ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขจำนวนเต็มฐานสิบ
%ld ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขจำนวนเต็มฐานสิบแบบ long
%u ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขจำนวนเต็มฐานสิบแบบ unsigned
%c ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นตัวอักษร
%s ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นตัวแปรสตริงหรือชุดตัวอักษร
%o ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขฐานแปด
%x ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขฐานสิบหก
%f ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ที่ไม่มีเลขยกกำลัง
%e ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ที่มีเลขชี้กำลัง
%lf ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยมแบบ double

สามารถดัดแปลงเพื่อใช้เป็นตัวกำหนดชนิดข้อมูลอื่นๆได้โดย โมดิฟายเออร์ (modifier) l,h และL โมดิฟายเออร์ l จะสามารถใช้กับตัวกำหนดชนิดข้อมูล %d, %o , %u และ %x เพื่อใช้กับข้อมูลชนิดยาวเช่น %ld หมายถึงข้อมูลชนิดเลขจำนวนเต็มยาวโมดิฟายเออร์ h จะใช้ในลักษณะเดียวกันกับข้อมูลชนิดสั้น เช่น %hd หมายถึง ข้อมูลชนิดเลขจำนวนเต็มสั้นสำหรับข้อมูลชนิดทศนิยมจะมีโมดิฟายเออร์ l และ L โดย l จะหมายถึงข้อมูลชนิดเลขจำนวนจริงละเอียด 2 เท่า ส่วน L จะหมายถึงข้อมูลชนิดเลขจำนวนจริงรายละเอียด 2 เท่า เช่น %lf หมายถึงข้อมูลชนิดเลขจำนวนจริงละเอียด 2 เท่า
ตัวอย่าง
#include
#include void main(void)
{
int n;
clrscr();
n=100;
printf("Number = %d",n);
getch();
}
3. ฟังก์ชัน getchar() ฟังก์ชัน getchar() ใช้สำหรับป้อนตัวอักษรผ่านทางแป้นพิมพ์โดยจะรับตัวอักษรเพียง 1 ตัวเท่านั้น และแสดงตัวอักษรบนจอภาพ
รูปแบบคำสั่ง



เมื่อโปรแกรมทำงานถึงคำสั่งนี้จะหยุดเพื่อให้ป้อนตัวอักษร 1 ตัว หลังจากนั้นกด Enter ตัวอักษรที่ป้อนจะถูกเก็บไว้ในตัวแปร ch ซึ่งเป็นชนิดตัวอักษรและเคอร์เซอร์จะขึ้นบรรทัดใหม่ ฟังก์ชัน getchar() กำหนดในไฟล์ stdio.h เช่นเดียวกับฟังก์ชัน scanf()
ตัวอย่าง
#include void main()
{
char ch;
printf("Type one character ");
ch = getchar();
printf("The character you type is %c \n",ch);
printf("The character you typed is ");
putchar(ch);
}
การใช้ฟังก์ชัน putchar() แทน printf() จะพิมพ์ตัวอักษร 1 ตัว และเคอร์เซอร์จะไม่ขึ้นบรรทัดใหม่
4. คำสั่ง getche(); และ getch();
คำสั่ง getche(); จะรับตัวอักษร 1 ตัวที่ป้อนทางแป้นพิมพ์
รูปแบบคำสั่ง getche();



ความหมายch หมายถึง ตัวแปรชนิดตัวอักษร
แสดงตัวอักษรบนจอภาพ เมื่อป้อนข้อมูลเสร็จไม่ต้องกด Enter และเคอร์เซอร์จะไม่ขึ้นบรรทัดใหม่ ฟังก์ชัน getch() จะคล้ายกับฟังก์ชัน getche() ต่างกันตรงที่จะไม่แสดงตัวอักษรขณะป้อนข้อมูล ฟังก์ชัน getche() และ getch() กำหนดในไฟล์ conio.h ดังนั้นจะต้องระบุไฟล์ดังกล่าวในโปรแกรม
ตัวอย่าง คำสั่ง getche();
#include "stdio.h"
#include "conio.h"
void main(void)
}
char answer;
clrscr();
printf("Enter A Character : ");
answer=getche();
printf("\n");
printf("A Character is : %c\n",answer);
getch();
}
คำสั่งgetch();
คือฟังก์ชันที่ใช้สำหรับรับข้อมูลชนิดตัวอักษร ผ่านแป้นพิมพ์ 1 ตัวอักษร
รูปแบบคำสั่ง getch();



จะไม่แสดงตัวอักษรบนจอภาพ เมื่อป้อนตัวอักษรเสร็จแล้ว ไม่ต้องกด Enter และเคอร์เซอร์จะไม่ขึ้นบรรทัดใหม่ และเป็นฟังก์ชันที่กำหนดอยู่ในไฟล์ conio.h รูปแบบคำสั่ง ความหมาย
ตัวอย่าง คำสั่ง getch();
#include
#include
void main(void)
{
char answer;
clrscr();
printf("Enter A Character :");
answer=getch();
printf("\n");
printf("A Character is : ");
putchar(answer);
getch();
}
5. ฟังก์ชัน gets() ฟังก์ชัน gets() ใช้สำหรับข้อมูลชนิดสตริงก์หรือข้อความซึ่งป้อนทางแป้นพิมพ์
รูปแบบคำสั่ง




เมื่อโปรแกรมทำงานถึงคำสั่งนี้จะหยุดเพื่อให้ป้อนข้อความ เมื่อป้อนเสร็จแล้วกด Enter ข้อความ ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในอาร์เรย์สตริงก์ str โดย carriage return (จากการกด Enter) จะแทนด้วยสตริงก์ศูนย์ ฟังก์ชัน gets() จะทำให้เคอร์เซอร์ขึ้นบรรทัดใหม่ หลังจากกด Enter กำหนดในไฟล์ stdio.h
ตัวอย่าง
#include”stdio.h”
main()
{
char message[50];
printf(“ Enter a message(less than 49 characters)\n”);
gets(message);
printf(“ The message you entered is %s\n”,message);
}

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชื่อ-นามสกุล กาญจนา บุญเรือง
ชื่อเล่น ออยล์
กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิค
แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ชั้น ปวช.2/3
E-mail:Kanchanabunreang@hotmail.com